มกราคม 17, 2568

Login to your account

Username *
Password *
Remember Me

New Mazda CX- 5 | Mazda Sales (Thailand) Co., Ltd. | บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด

ยินดีต้อนรับเข้าสู่ Drivingplace.com แหล่งรวม :: ข่าวสารยานยนต์ :: รถใหม่ :: ทดสอบรถ :: เทคนิคการขับรถ :: ครบทุกรูปแบบ!

รีวิว ทดลองขับ HONDA CR-V e:HEV ES รองท็อป ขับสอง ของครบ! | รีวิวรถใหม่ 2024 Drivingplace Featured

HONDA CR-V 2024 เจเนอเรชั่นล่าสุด เปิดตัวบุกตลาดด้วย 2 ขุมพลังขับเคลื่อน  ทั้งขุมพลังเบนซินเทอร์โบ ขนาด 1.5 ลิตร  VTEC TURBO และขุมพลังทางเลือกแบบฟูลไฮบริด e:HEV ผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 2.0 ลิตร กับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว โดยมีให้เลือก 2 รุ่นคือรุ่นท็อป RS และ ES ที่เรามีโอกาสทดลองขับในครั้งนี้ ซึ่งเป็นทางเลือกในเกรดรองท็อป แต่มีความน่าสนใจมากทีเดียว เมื่อเทียบออฟชั่นที่ให้มาแบบครบๆ กับราคา 1,589,000 บาท ถูกว่ารุ่น RS ถึง 140,000 บาท (ความแตกต่างที่ชัดเจนคือการตกแต่งรูปลักษณ์ทั้งภายนอก/ภายใน และระบบขับเคลื่อน ES ขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า แต่ RS ขับ 4 ล้อ AWD)

การดีไซน์รูปลักษณ์ โดยรวมถือว่าใหม่หมดทั้งคัน เน้นความดุดัน กระจังหน้าดีไซน์ใหม่สีดำ Piano Black มีขนาดใหญ่ รุ่น e:HEV ES โลโก้ H ด้วยขอบสีฟ้า ชุดไฟหน้ารูปทรงโฉบเฉี่ยวเป็นแบบ LED พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED เป็นเส้นยาว ผสานกับไฟเลี้ยวด้านหน้าแบบ LED Sequential ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED และชุดไฟท้าย แบบ LED รูปทรงยังคงเอกลักษณ์ที่ทอดยาวต่อเนื่องไปขนานกับเสาคู่หลัง กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว ปรับไฟฟ้าพร้อมพับเก็บอัตโนมัติ  บริเวณหลังคาเพิ่มความพรีเมียมยิ่งขึ้นกับซันรูฟไฟฟ้าแบบพาโนรามา (Panoramic Sunroof) ขนาดใหญ่ และให้ความสะดวกสบายยิ่งขึ้นด้วย ฝากระโปรงท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าแบบแฮนด์ฟรี พร้อมระบบปิดอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Hands-Free Power Tailgate with Walk Away Close) และรุ่น ES ติดตั้งล้ออัลลอยสีดำเงาดีไซน์สปอร์ตขนาด 18 นิ้ว พร้อมยางขนาด 235/60R18

ภายในห้องโดยสารเน้นความกว้างขวาง โปร่งสบาย พร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายครบครัน รุ่น ES จะเน้นตกแต่งด้วยลายไม้สีเข้ม พร้อมการคุมโทนสีดำเรียบหรูรอบคัน ส่วนอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายระดับพรีเมียมที่น่าสนใจก็มีทั้ง ระบบควบคุมประตูแบบอัจฉริยะ พร้อม Honda Smart Key Card (เฉพาะรุ่น e:HEV RS 4WD) , ระบบบันทึกตำแหน่งเบาะนั่งของผู้ขับขี่ (Driver Memory Seat) , ไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสาร (Ambient Light) ที่ได้รับการติดตั้งในหลายตำแหน่ง อาทิ ถาดคอนโซลกลาง แผงประตูหน้าและหลัง และที่วางแก้ว , ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสแบบ Advanced Touch ขนาด 9 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay แบบไร้สายและ Android Auto และรองรับระบบสั่งการด้วยเสียง Siri และ Android Auto , มาตรวัดความเร็วพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT , อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger) , ช่องเชื่อมต่อ USB 4 ตำแหน่ง (USB Type-C 3 ตำแหน่ง ได้แก่ ด้านหน้า 1 และด้านหลัง 2 ตำแหน่ง) ติดตั้งช่องปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง และไฟอ่านหนังสือด้านหลัง LED แบบสัมผัส , เบาะนั่งด้านหลัง (Rear Seat Sliding) เลื่อนและแยกพับแบบ 60:40 รุ่นเบาะแบบ 5 ที่นั่ง เบาะด้านหลังทั้ง 2 ด้าน สามารถปรับพับลงแนวราบได้เรียบ (Utility Mode) ช่วยเพิ่มพื้นที่สัมภาระด้านท้าย และสามารถปรับพับเบาะด้านหน้าและด้านหลัง (Long Mode) เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวยาว

HONDA CR-V e:HEV ES โดยพื้นฐานของขุมพลังฟูลไฮบริด จะผสานการทำงานร่วมกันของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ได้แก่ มอเตอร์ที่ทำหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้า (Motor Generator) และมอเตอร์ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อ (Motor Drive) กับเครื่องยนต์เบนซินใหม่ขนาด 2.0 ลิตร Direct Injection Atkinson-Cycle DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนที่มีประสิทธิภาพสูง ตอบสนองทันใจด้วยแรงบิดมอเตอร์สูงสุด 335 นิวตัน-เมตร ที่ 0 - 2,000 รอบต่อนาที ในรุ่น e:HEV ES เคลมอัตราการประหยัดน้ำมันสูงสุดถึง 20.8 กม./ลิตร และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 113 กรัม/กิโลเมตร ในรุ่นฟูลไฮบริด e:HEV ยังรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปีไม่จำกัดระยะทาง

ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด e:HEV สามารถปรับเปลี่ยนโหมดการทำงานได้อย่างชาญฉลาด เหมาะสมกับการขับขี่ในทุกสถานการณ์ใน 3 โหมด ได้แก่ โหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) โหมดการขับขี่ด้วยระบบไฮบริด (Hybrid Drive Mode) และโหมดการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ (Engine Drive Mode) พร้อมสวิตซ์โหมดการขับขี่ (Drive Mode Switch) สามารถเลือกปรับโหมดการขับขี่อย่างง่ายดาย ทั้ง โหมดการขับขี่แบบสปอร์ต (Sport Mode) โหมดการขับขี่แบบปกติ (Normal Mode) และโหมดการขับขี่แบบประหยัด (Econ Mode)

เริ่มสัมผัสแรก เมื่อกดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ถ้าแบตเตอรี่มีปริมาณมากพอ เครื่องยนต์ยังไม่ทำงาน ระบบแอร์จะทำงานโดยใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ แต่ถ้าไฟในแบตเตอรี่ไม่พอ เครื่องยนต์จะติดขึ้นเองโดยอัตโนมัติส่งเสียงให้ทราบชัดเจน สามารถเลือกดูสถานการทำงานของระบบฟลูไฮบริดที่หน้าจอสัมผัสบนคอนโซนกลางกดตรงคำว่าระบบส่งกำลัง หรือเลือกดูที่แผงหน้าปัดก็ได้ตามสะดวก เริ่มขับออกตัวช้าๆแบบกดคันเร่งเนียนๆ ช่วงนี้จะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นตัวขับเคลื่อนโดยที่เครื่องยนต์ยังไม่ทำงาน แต่ตรงนี้ต้องขึ้นอยู่กับปริมาณพลังงานไฟฟ้าในแบตเตอรี่ที่สะสมไว้ (ต่ำกว่า 3 ขีด เครื่องยนต์จะติดเพื่อขับเคลื่อน พร้อมชาร์จไฟโดยตลอด) เมื่อความเร็วเริ่มเติมคันลงไป เครื่องยนต์จะเริ่มทำงานเต็มประสิทธิภาพ และชาร์จไฟฟ้าไปในตัวขณะถอนคันเร่งและเบรค และในช่วงเร่งแซงกดหนักๆเครื่องยนต์จะทำงานเต็มประสิทธิภาพ เมื่อแซงผ่านแล้วลดความเร็วลง และใช้ความเร็วคงที่จะเข้าสู่โหมดไฮบริดขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สลับการทำงานกับโหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าตามระดับพลังงานในแบตเตอรี่ที่เก็บและจ่ายสลับกันตลอดเวลา ช่วยเพิ่มความประหยัดในการขับขี่ได้ดีกว่าเครื่องยนต์ปกติได้มากทีเดียว ซึ่งการทดลองขับออกนอกเมืองทริปนี้เราใช้เส้นทางไปกลับ กรุงเทพฯ-พัทยา เน้นใช้ความเร็วเดินทางตามกฏหมายกำหนดประมาณ 90-100 กม./ชม. ตัวเลขความประหยัดเมื่อลองวัดผลหลายๆช่วงทำได้ดีงามประมาณ 19-20 กม./ลิตร ทั้งขาไปและกลับ น้ำมันหนึ่งถังกลับถึง กทม.ยังเลือกเกินครึ่งถัง ซึ่งการทดลองขับครั้งนี้จะเน้นประหยัด ใช้งานสบายๆ เสมือนเจ้าของรถด้วยโหมด ECON เป็นหลัก แต่บางช่วงก็ลองของด้วยโหมด SPORT เมื่อออกนอกเมืองถนนโล่ง ซึ่งสัมผัสถึงความแตกต่างจากการขับขี่ได้อย่างชัดเจน ในโหมด ECON ให้สมรรถนะการขับขี่แบบพอเพียงทั้งจังหวะออกตัวและเร่งแซง ถ้าไม่ใจร้อนก็ไม่รู้สึกถึงความอืดอาด ส่วนโหมด SPORT มีไว้รองรับคนที่ชอบขับรถเร็ว หรือ จำเป็นที่จะต้องขับขี่แบบทำเวลาในบางครั้ง เพราะการขับขี่ในโหมดนี้ รอบเครื่องยนต์จะจัดจ้านมากขึ้น ไม่ต้องรอรอบ พร้อมกับคันเร่งที่เบา กดลงน้ำหนักเพียงเล็กน้อย ความเร็วพร้อมพุ่งทะยานแบบไปไวมาไวกว่าโหมด ECON พอสมควร

ส่วนการขับขี่ใช้งานทั่วๆไปในเมือง ถ้ารถไม่ติดถึงขั้นสาหัส หรือผู้ขับใจเย็นไม่กดคันเร่งหนักๆจนเกินไป ตัวเลขขั้นต่ำ 15 กม./ลิตร มีให้เห็นสบายๆ เพราะระบบฟลูไฮบริดชุดนี้สามารถชาร์จไฟไปเก็บในแบตเตอรี่ได้เร็ว เมื่อไฟฟ้ามีให้ใช้อย่างสม่ำเสมอเครื่องยนต์ก็ทำงานน้อยลงจึงประหยัดเพิ่มมากขึ้น

ทางด้านฟิลลิ่งการขับขี่โดยรวมๆต้องบอกว่ารถรุ่นนี้ดูหนักแน่น นุ่มนวลใกล้เคียงรถยุโรป แต่ก็ยังขับขี่ได้คล่องตัว ควบคุมรถง่าย ให้อารมณ์ต่างจาก CR-V รุ่นเดิมอย่างชัดเจน การบังคับเลี้ยวผ่านพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า แปรผันตามความเร็วได้ดี เบาแรงเลี้ยวง่ายช่วงความเร็วต่ำ แต่จะหนักแน่นมากขึ้นเมื่อใช้ความเร็วสูง รวมทั้งการบังคับเลี้ยวผ่านโค้งต่างๆ มีความแม่นยำ ควบคุมรถได้ง่ายไม่เครียด ขณะเดียวกันระบบช่วงล่างที่มีการพัฒนาใหม่หลายจุดเน้นความแข็งแรงมากขึ้น พร้อมลดน้ำหนักให้เบาลง และปรับตำแหน่งจุดยึดต่างๆใหม่ การขับขี่จะให้ความรู้สึกที่ดีงามในสไตล์นุ่มนวลผสานความหนึบแน่น

HONDA CR-V เจเนอเรชั่นล่าสุด ในทุกรุ่นย่อย ยังมาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ผสานการทำงานของกล้องด้านหน้าและเรดาร์ ในการตรวจจับรถยนต์ รถจักรยานยนต์ จักรยาน และคนเดินถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS) , ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS) , ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning : RDM with LDW) , ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF) , ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB) หรือ ครั้งแรกกับระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ (Adaptive Driving Beam: ADB) (เฉพาะรุ่น e:HEV RS 4WD) ที่ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในเวลากลางคืนและปรับองศาของแสงไฟเพื่อลดการรบกวนรถด้านหน้าและคนเดินถนน , ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN) พร้อมด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอันล้ำสมัยและเทคโนโลยีเพื่อการขับขี่อื่น ๆ อาทิ ระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง (Multi-view Camera System: MVCS) (ยกเว้นรุ่น E) พร้อมเซ็นเซอร์กะระยะหน้า 4 จุด และ หลัง 4 จุด , ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill Descent Control: HDC) , ไฟส่องสว่างด้านข้างอัตโนมัติขณะเลี้ยว (Active Cornering Light: ACL) , ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) , ระบบช่วยเตือนความเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (Driver Attention Monitor) และ ระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย (Deceleration Paddle Selectors) (รุ่น e:HEV ES และ e:HEV RS 4WD) , ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Paddle Shift)

การทำตลาด HONDA CR-V เจเนอเรชั่นที่ 6 มีให้เลือกทั้งหมด 5 รุ่นย่อย

ระบบฟูลไฮบริด e:HEV มาพร้อม 2 รุ่นย่อย

- รุ่น e:HEV RS 4WD 5 ที่นั่ง ราคา 1,729,000 บาท

- รุ่น e:HEV ES 5 ที่นั่ง ราคา 1,589,000 บาท

เครื่องยนต์เทอร์โบ มาพร้อม 3 รุ่นย่อย

- รุ่น EL 4WD 7 ที่นั่ง ราคา 1,649,000 บาท

- รุ่น ES 4WD 5 ที่นั่ง ราคา 1,599,000 บาท

- รุ่น E 5 ที่นั่ง ราคา 1,419,000 บาท

สุดท้ายนี้ถ้าต้องการสอบถามข้อมูลการขับขี่ หรือแลกเปลี่ยนประสบการณ์การขับขี่รถยนต์รุ่นนี้ สามารถฝากข้อความไว้ที่แฟนเพจ FACEBOOK : Drivingplace.com ได้เลยครับ

TEST DRIVE  by WWW.DRIVINGPLACE.COM

Rate this item
(2 votes)
Last modified on วันศุกร์, 15 มีนาคม 2567 21:25
Kodrivingplace

EXECUTIVE EDITORlaughing

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์