การดีไซน์รูปลักษณ์ของ FORD EVEREST ใหม่ ถือเป็นการต่อยอดความสำเร็จของ FORD EVEREST SPORT ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากดีไซน์สไตล์สปอร์ตที่โฉบเฉี่ยวและดุดัน ด้วยกระจังหน้าลายตาข่ายสีดำแต่ทำการตกแต่งขอบโครเมี่ยมใหม่เพิ่มความหรูหรา พร้อมประดับตัวอักษรนูน EVEREST บนฝากระโปรงหน้า และชุดไฟหน้าเป็นแบบ HID ปรับสูง-ต่ำอัตโนมัติ พร้อมไฟเดย์ไทม์แบบ LED ที่กรอบไฟหน้าทั้ง 2 ด้าน บริเวณกันชนแต่งสีบรอนซ์เงินตัดกับสีตัวรถ ด้านข้างตัวถังในรุ่น Titanium+ จะเพิ่มความหรูหราด้วยมือจับประตูภายนอก และกระจกมองข้างสีโครเมียม บันไดข้างสีดำ ล้ออัลลอยลายหรู เป็นแบบ 6 ก้านคู่สีทูโทน ขนาด 20 นิ้ว และป้ายแต่งสีโครเมี่ยมบริเวณซุ้มล้อหน้าในรุ่นเทอร์โบคู่จะโชว์คำว่า Bi-turbo
ส่วนด้านท้ายรถยังคงเป็นดีไซน์ที่คุ้นเคย โดดเด่นด้วยชุดไฟท้ายสีแดงสดใส ประตูท้ายแต่งด้วยแถบคาดโครเมี่ยมผนึกชื่อรุ่น EVEREST ขนาดใหญ่ และยังให้ความสะดวกในการขนถ่ายสัมภาระด้วยประตูท้ายไฟฟ้า พร้อมระบบแฮนด์ฟรี เพียงใช้เท้ายื่นไปใต้กันชนท้าย ประตูก็จะเปิดออกเองโดยอัตโนมัติ ขณะที่ขนาดมิติตัวรถโดยรวมก็ยังคงความโดดเด่น ด้วยความใหญ่โตบึกบึน ดูลงตัวตลอดคัน ความยาว 4,893 มม. ความกว้าง 1,862 มม. ความสูง 1,836 มม. และความยาวฐานล้อ 2,850 มม.
ภายในห้องโดยสาร FORD EVEREST Titanium+ รุ่นล่าสุด ตกแต่งด้วยโทนสีดำเทาตัดกับสีโครเมี่ยมเพิ่มความล้ำสมัย ทั้งแผงแดชบอร์ด แผงข้างประตู และเบาะนั่ง ส่วนออฟชั่นอำนวยความสะดวกต่างๆ ก็ถือว่าจัดให้ครบไม่ต้องเรียกหาอะไรเพิ่มเติมอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็น กุญแจรีโมทอัจฉริยะ และปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ สามารถสตาร์ทรถได้รวดเร็ว และขึ้นลงรถได้สะดวกสบาย และภาคบันเทิงมาพร้อมระบบซิงค์ 3 (SYNC 3) ระบบจดจำเสียง และระบบสั่งงานเสียงด้วยภาษาไทย รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto พร้อมระบบบลูทูธ แสดงผลผ่านจอทัชสกรีน ฟูลคัลเลอร์ ขนาด 8.0 นิ้ว พร้อมระบบแผนที่นำทางด้วยดาวเทียม และติดตั้งกล้องมองหลังเพิ่มความปลอดภัยเวลาถอยจอด นอกจากนี้ยังมีระบบช่วยโทรฉุกเฉิน (Emergency Assistance) ระบบ SYNC ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นอีกขั้น เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธด้วยระบบ SYNC และต่อสายอัตโนมัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือต้องการความช่วยเหลือฉุกเฉิน
ทางด้านความกว้างขวางสะดวกสบาย รองรับการใช้งานได้ดีจากขนาดตัวถังที่ใหญ่โต เบาะแถว 1 แถว 2 นั่งสบายหายห่วง ติดแค่เบาะแถว 3 พื้นที่ช่วงหยืดแข้งขาจะแคบไปนิดคนตัวสูงเกิน 165 ซม.ขึ้นไป นั่งนานๆเมื่อยพอสมควร แต่ก็ยังดีที่นั่งแล้วไม่ร้อน เพราะให้ความเย็นสบายอย่างทั่วถึงจากช่องแอร์แยกทั้งแถว 2 และ 3 พร้อมออฟชั่นอำนวยความสะดวกในยุคโซเชียลด้วยช่องเสียบชาร์จไฟหลายจุดแบบทั่วถึงทั้งด้านหน้า/ด้านหลัง และที่ขาดไม่ได้กับออฟชั่นระดับเทพในรุ่นท็อป คือหลังคา panoramic moonroof ช่วยเสริมความหรูหรา และผ่อนคลายในการเดินทางท่องเที่ยว
FORD EVEREST รุ่น 2.0 Bi TURBO Titanium+ ขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่เราทดลองขับ ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล แบบ 4 สูบ พิกัด 2.0 ลิตร Bi-Turbo คือการเสริมกำลังด้วยระบบอัดอากาศประสิทธิภาพสูง ทั้งเทอร์โบแรงดันสูง (HP) และเทอร์โบแรงดันต่ำ (LP) ให้กำลังสูงสุด 213 แรงม้า ที่ 3,750 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ พร้อมด้วยฟังก์ชันการเปลี่ยนตำแหน่งในสไตล์เกียร์ธรรมดาแบบ Select Shift ซึ่งการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ บวก/ลบ สวิทซ์จะอยู่ที่บริเวณคันเกียร์ ต่างจากรุ่นเดิมที่ใช้วิธีผลักคันเกียร์ขึ้นลงเพื่อเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ แรกๆใช้งานก็ยังไม่คุ้นเคยกับวิธีกดปุ่มเท่าไหร่ แต่ใช้ไปสักพักเริ่มสนุก คุ้นมือ ถือว่าใช้งานง่ายสะดวกสบาย แถมยังมีลูกเล่นการล็อกตำแหน่งเกียร์ให้ใช้งาน อยากใช้แค่เกียร์ไหนก็ได้เพียงกดปุ่ม บวก/ลบ จะมีตัวเลขแสดงตำแหน่งเกียร์ขึ้นโชว์ที่แผงหน้าปัด ซึ่งเวลาขับขึ้นลง-เขา หรือเข้าโค้งด้วยความเร็วต่ำ สามารถล็อคให้ใช้แค่เกียร์ต่ำเช่น 1-3 ได้เลย ช่วยเสริมความปลอดภัยในการคุมรถได้อย่างเหมาะสมกับสภาพเส้นทางมากยิ่งขึ้น
จุดเด่นสำคัญที่ใครได้ขับมักจะชื่นชอบ FORD EVEREST รุ่นนี้ คือการบังคับควบคุมรถ เพราะพวงมาลัยจะเป็นแบบปั้มเพาเวอร์พร้อมระบบไฟฟ้าช่วยผ่อนแรง ให้น้ำหนักในการเลี้ยวกำลังดีมีความแม่นยำสูง สามารถบังคับเลี้ยวได้อย่างมั่นใจในทุกช่วงความเร็ว ซึ่งปัจจุบัน FORD EVEREST เป็นรถอเนกประสงค์แบบพีพีวีเพียงรุ่นเดียวที่ใช้พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้าจึงให้อารมณ์การขับขี่แตกต่างจากคู่แข่งทุกรุ่นอย่างชัดเจน ส่วนระบบช่วงล่างพื้นฐานเป็นแบบอิสระปีกนก 2 ชั้นพร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง ในด้านหน้า และแบบคอยล์สปริง พร้อมวัตต์ลิงก์ และเหล็กกันโคลง ในด้านหลัง การปรับเซ็ทจะเน้นความนุ่มนวลขับสบายเป็นหลัก จึงรู้สึกได้ถึงความนุ่มนวล นั่งสบาย การขับขี่ตามสภาพท้องถนนปกติถือว่าดีเยี่ยมนุ่มนวล ไม่กระด้าง อารมณ์คล้ายกับขับรถเอสยูวีแท้ๆ แต่การขับด้วยความเร็วสูง หรือเข้าโค้งด้วยความเร็ว เนื่องจากเครื่องยนต์มีขนาดเล็กและเบาลง จะรู้สึกเบา หน้าลอยนิดๆ และเลี้ยวได้ไวขึ้น ต้องประณีตในการขับขี่ด้วยความเร็วที่เหมาะสมในการขับเข้าโค้ง แต่ถ้าเผลอเข้าโค้งแรงเกินไปจนตัวรถมีอาการหน้าดื้อ หรือท้ายปัด ก็ยังมีตัวช่วยที่ดีเยี่ยมอย่าง ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP เข้ามาช่วยเบรกล้อไม่ให้ลื่นไถลหลุดโค้งอย่างรวดเร็ว จนสามารถควบคุมรถเข้าสู่ทางตรงได้อย่างปลอดภัย
ทางด้านสมรรถนะความแรง จากเครื่องยนต์เทอร์โบคู่ 213 แรงม้า ในช่วงออกตัวเร่งได้แรงทันใจ แต่ก็ไม่ได้แรงถึงขั้นดิบดุดัน เป็นการเร่ง เร็ว แรง แบบนุ่มนวล ราบเรียบ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม อยู่ที่ประมาณ 11 วินาที โดยอัตราเร่งถูกส่งผ่านจากเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ทำได้ราบเรียบ ไหลลื่น รอยต่อระหว่างเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์เกิดขึ้นน้อย ส่วนช่วงความเร็วสูงในทุกรอบความเร็ว ถือว่าขับสนุก มีความจัดจ้าน ตามน้ำหนักเท้า การเร่งแซงเรียกว่าหายห่วงทันใจในทุกสถานการณ์ โดยมีความเร็วสูงสุดรองรับไว้ที่ประมาณ 180 กม./ชม.
นอกจากสมรรถนะความแรง ข้อดีอีกจุดของเครื่องยนต์บล็อคนี้เมื่อผสานกับชุดเกียร์ 10 สปีด คือการขับเดินทางไกลด้วยความเร็วคงที่รอบเครื่องยนต์จะค่อนข้างต่ำ ความเร็ว 100 - 120 กม/ชม. รอบเครื่องยนต์อยู่ที่ประมาณ 1,400 – 1,800 รอบ/นาที ซึ่งส่งผลดีในเรื่องความประหยัดน้ำมันที่คุ้มค่ามากกว่าเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ การทดลองขับเราลองจับอัตราสิ้นเปลืองหลายๆครั้งที่ความเร็วประมาณ 100 - 120 กม./ชม. ค่าเฉลี่ยแปรผันตามสภาพการจราจรอยู่ที่ประมาณ 14 - 16 กม./ลิตร และถ้าลองใช้ความเร็วคงที่ต่ำลงเน้นไปแบบเรื่อยๆชิลๆ 80-90 กม./ชม.ทำได้เกิน 18 กม./ลิตร สบายๆ ส่วนช่วงการขับขี่ในเมืองความเร็วต่ำ รวมถึงช่วงรถติดหนักในเมืองใช้เกียร์ต่ำเป็นส่วนใหญ่ก็ต้องทำใจกับตัวเลขลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 10 -11 กม./ลิตร
FORD EVEREST Titanium+ รุ่นท็อปยังอัดแน่นด้วยระบบช่วยเสริมความปลอดภัยยุคใหม่เต็มเพียบ ที่โดดเด่นรองรับการใช้งานได้จริงก็มีทั้ง ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน ซึ่งผสานระบบเบรกแบบ Autonomous Emergency Braking (AEB) เข้ากับระบบตรวจจับคนเดินถนน (Pedestrian Detection) และระบบตรวจจับยานพาหนะ (Vehicle Detection) บริเวณรอบตัวรถเพื่อหยุดรถ และช่วยลดอัตราการชนท้าย และการชนคนเดินถนนให้น้อยลง โดยระบบนี้จะทำงานเมื่อใช้ความเร็วสูงกว่า 3.6 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป ส่วนเทคโนโลยีช่วยขับขี่อัจฉริยะที่เป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์รุ่นนี้ ก็มีทั้งระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control) , ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping System) , ระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning System) , ระบบแจ้งเตือนการขับขี่ (Driver Alert System , ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ (Auto High Beam Control) , ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ (Active Park Assist) , ระบบตรวจจับรถในจุดบอด (BLIS – Blind Spot Information System) ที่มาพร้อมระบบตรวจจับรถขณะออกจากซองจอด (Cross Traffic Alert) และติดตั้งกล้องมองหลังขณะถอยจอดและสัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้า (Rear View Camera and Sensors)
นอกจากนี้ยังให้ความเพลิดเพลินในการขับขี่ ด้วยระบบตัดเสียงรบกวนจากภายนอก (Active Noise Cancellation) ช่วยให้ห้องโดยสารเงียบ เสียงรบกวนจากภายนอกน้อยลง โดยออกแบบให้ความสำคัญกับการลดเสียงรบกวนจากเครื่องยนต์ และระบบเกียร์ พร้อมพัฒนาซีลกันเสียง และวัสดุดูดซับเสียงภายในห้องโดยสารที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น และเพิ่มความอุ่นใจในการขับขี่ด้วยระบบตรวจจับลมยาง (Tire Pressure Monitoring System) คอยตรวจวัดความดันลมในยางล้อทั้ง 4 ล้อ และเตือนเมื่อความดันลมเปลี่ยนแปลง ระบบนี้นอกจากจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของยางอีกด้วย
สำหรับการทำตลาด NEW FORD EVEREST โมเดลปี 2021 มีจำหน่ายทั้งหมด 5 รุ่น
- รุ่น Trend เครื่องยนต์เทอร์โบ 2.0 ลิตร ราคา 1,299,000 บาท
- รุ่น Titanium เครื่องยนต์เทอร์โบ 2.0 ลิตร ราคา 1,399,000 ล้านบาท
- รุ่น Titanium+ Sport เครื่องยนต์เทอร์โบ 2.0 ลิตร ราคา 1,429,000 บาท
- รุ่น Titanium+ เครื่องยนต์เทอร์โบ 2.0 ลิตร 4x2 ราคา 1,599,000 บาท
- รุ่น Titanium+ เครื่องยนต์เทอร์โบคู่ 2.0 ลิตร 4x4 ราคา 1,799,000 บาท
นอกจากนี้ NEW FORD EVEREST ทุกรุ่นยังมาพร้อมข้อเสนอพิเศษ โปรแกรมรับประกันเครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง 10 ปี หรือ 150,000 กม. ถ้าสนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือทดลองขับด้วยตัวคุณเองที่โชว์รูมฟอร์ดทั่วประเทศ
TEST DRIVE by WWW.DRIVINGPLACE.COM