MG EXTENDER เน้นทำตลาดด้วยตัวถัง 2 ทางเลือก คือรถกระบะแบบตอนครึ่ง หรือ Giant Cab และแบบ 4 ประตู หรือ Double Cab ซึ่งถูกพัฒนาให้มีความโดดเด่นทั้งในเรื่องรูปลักษณ์ด้วยมิติตัวถังขนาดใหญ่จึงช่วยเพิ่มปริมาณการบรรทุก และภายในห้องโดยสารที่กว้างขวางนั่งสบาย พร้อมรองรับระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i-SMART สั่งการด้วยเสียงภาษาไทย และขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอลเรล เทอร์โบ ขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 161 แรงม้า เน้นให้สมรรถนะความแรงแบบพอเพียง พร้อมการประหยัดน้ำมัน และประหยัดค่าบำรุงรักษา นอกจากนี้ ยังให้ความสะดวกสบาย และมั่นใจในการขับขี่ในทุกสภาพถนน ด้วยระบบช่วงล่างแบบ EUROPEAN TUNING SUSPENSION
แนวทางการออกแบบยังคงยึดมั่นในแนวคิด BRIT Dynamic เช่นเดียวกับรถยนต์เอ็มจีรุ่นอื่นๆ เน้นความโดดเด่นทั้งด้านรูปลักษณ์ และมิติตัวถังขนาดใหญ่ ด้านหน้ามาพร้อมกระจังหน้าขนาดใหญ่แบบโมเดิร์นดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเอ็มจี ผสานชุดไฟหน้าแบบ LED PROJECTOR พร้อม Daytime Running Lights สว่างชัดเวลากลางวัน และระบบควบคุมไฟหน้าปรับเลี้ยวตามองศาพวงมาลัย ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยที่ดียามค่ำคืน ด้านข้างตัวถังเน้นความโค้งมนบึกบึน เสริมมัดกล้ามจากโป่งล้อขนาดใหญ่ พร้อมติดตั้งล้ออัลลอยลายสวยเรียบขนาด 18 นิ้ว ประกบยางขนาด 255/60R18 เลยไปด้ายท้ายรถฝาท้าย และชุดกันชนตกแต่งสวยงามลงตัว พร้อมชุดไฟท้ายดีไซน์รูปทรงได้ดี สีสันสดใส ดูทันสมัยรับกับตัวรถ และมองเห็นได้ชัดเจนช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่
ภายในห้องโดยสาร ดีงามตามคอนเซ็ปท์รถกระบะพันธุ์ยักษ์ โดดเด่นที่สุดต้องยกให้ความกว้างขวางสะดวกสบาย ทั้งพื้นที่ด้านหน้า และพื้นที่สำหรับผู้โดยสารตอนหลังกว้างๆ นั่งยืดแข้งขาสบายมากๆ เบาะด้านหน้ามีรูปทรงกึ่งสปอร์ตนั่งได้สบายแม้ผิวสัมผัสจะค่อนข้างแข็งไปหน่อย การปรับเบาะทำได้ละเอียดด้วยระบบไฟฟ้ารองรับสรีระได้ดี นั่งขับได้อย่างมั่นใจ บริเวณเบาะหลังพับได้เพิ่มความหลากหลายในการบรรทุกสัมภาระ และยังให้ความเย็นสบายอย่างทั่วถึงด้วยช่องปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง
การออกแบบภายในห้องโดยสารสร้างความรู้สึกแข็งแกร่งสอดคล้องกับรูปลักษณ์ภายนอกโดยใช้โทนสีเข้ม และเพิ่มความเรียบหรูด้วยวัสดุให้สัมผัสนุ่ม (SOFT TOUCH) พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้านหุ้มหนังเดินด้ายแดงแอบสปอร์ตนิดๆ พร้อมระบบมัลติฟังก์ควบคุมครุยคอนโทรล และชุดเครื่องเสียง บริเวณแผงหน้าปัดทรงกลมเรืองแสงสีแดงให้อารมณ์สปอร์ต บริเวณกึ่งกลางแผงหน้าปัดมีจอแสดงข้อมูลการขับขี่โชว์ทั้งระยะทางวิ่ง ค่าเฉลี่ยอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง แรงดันลมยาง ฯลฯ ซึ่งสามารถเรียกดูค่าต่างๆได้จากปุ่มที่ปลายก้านปัดน้ำฝนด้านซ้าย และถ้าต้องการรีเซ็ทค่าต้องกดปุ่มที่ปลายก้านไฟเลี้ยวด้านขวา การใช้งานช่วงแรกๆ อาจงงๆ แต่ใช้ไปสักพักก็เริ่มชินไม่เป็นปัญหา นอกจากนี้ยังมาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน ทั้งกุญแจระบบ Smart Key พร้อมปุ่ม Push Start , ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ , คอนโซลกลางติดตั้งจอสีระบบสัมผัสขนาดใหญ่ 10 นิ้ว พร้อมรองรับระบบปฏิบัติการ i–SMART ช่วยให้ผู้ขับขี่กับรถสามารถเชื่อมต่อกันได้ เพื่อความสะดวกสบายตามยุคสมัย ไม่ว่าจะเป็น การสั่งการ หรือ SMART Command ผ่านระบบสั่งการด้วยเสียงภาษาไทย ที่สามารถสั่งการให้โทรออก เปิด-ปิดหรือควบคุมระบบปรับอากาศ ตลอดจนควบคุมภาคบันเทิงภายในรถ นอกจากนี้ยังสามารถควบคุมหรือสั่งการระบบต่างๆ ผ่านหน้าจอทัชสกรีนภายในรถ หรือเลือกสั่งการบนสมาร์ทโฟนผ่าน MG Mobile Application การเชื่อมต่อ หรือ SMART Connect ที่สามารถเลือกฟังเพลงผ่าน Online Music ค้นหาร้านอาหารและที่พัก รวมทั้งเรียกดูข้อมูลข่าวสาร และเหตุการณ์ปัจจุบันจากเว็บไซต์ได้บนหน้าจอในรถ และการตรวจเช็กรถ หรือ SMART Check โดยสามารถสั่งล็อกหรือปลดล็อกประตู ตรวจสอบตำแหน่งและค้นหารถ แจ้งความผิดปกติ และแจ้งสถานะการทํางานของรถ รวมถึงระบบช่วยค้นหาศูนย์บริการ นัดหมาย และบันทึกการดูแลรักษารถยนต์ตามระยะ เรียกว่าเป็นรถกระบะที่เข้ากับยุคสมัยได้อย่างแท้จริง
MG EXTENDER DC 2.0 GRAND 4WD X 6AT รุ่นท็อปที่เรามีโอกาสทดลองขับในครั้งนี้ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล ไดเร็คอินเจ็คชั่น แบบ 4 สูบ ขนาดความจุ 2.0 ลิตร ชาร์จพลังด้วยเทอร์โบแบบแปรผัน ให้กำลังสูงสุด 161 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิด 375 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ พร้อมฟังก์ชั่นปรับรูปแบบการขับขี่ได้ทั้ง ECO และ POWER เพื่อตอบสนองต่อความต้องการในการใช้งาน และในรุ่นนี้ยังมาพร้อมขับเคลื่อน 4 ล้อ (4WD) ซึ่งมีโหมดการขับขี่ให้เลือกใช้งานตามสภาพเส้นทาง 3 รูปแบบ คือ 2H, 4H และ 4L
การทดลองขับแบบใช้งานจริง ทั้งในเมือง และการวิ่งทางไกลนอกเมือง สัมผัสแรกจากการขับขี่ ว่ากันตั้งแต่ทัศนวิสัยการมองรอบทิศทางอยู่ในระดับที่ชัดเจนจากตำแหน่งการนั่งที่สูง และกระจกหน้าบานใหญ่ รวมถึงแนวฝากระโปรงหน้าที่ลาดเทพอดีๆ ทำให้การควบคุมรถเป็นไปอย่างคล่องตัวไม่รู้สึกว่าความใหญ่โตของตัวถังเป็นปัญหาในการขับขี่ การตอบสนองของพวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พิเนียน ผ่อนแรงด้วยไฮดรอลิค ถือว่าเซ็ทน้ำหนักแปลกไปจากรถกระบะที่คุ้นเคย โดดเด่นที่ความเบาสบาย เลี้ยวง่ายในช่วงความเร็วต่ำ ทำให้การขับขี่ในเมืองมีความคล่องตัวสูง แม้ว่าจะไม่เบามือแบบรถกระบะที่ใช้พวงมาลัยไฟฟ้าก็ตาม ขณะเดียวกันเมื่อใช้ความเร็วสูงในการเดินทาง หรือการเข้าโค้งอาจรู้สึกเบา และมีระยะฟรีอยู่บ้าง แต่ยังอยู่ในวิสัยที่สามารถควบคุมรถได้อย่างปลอดภัย
ส่วนช่วงล่างโดยพื้นฐานก็จะเหมือนกับรถกระบะรุ่นอื่นๆในคลาสเดียวกัน ด้านหน้าเป็นแบบอิสระปีกนกคู่ และด้านหลังแบบแหนบแผ่นซ้อน แต่การปรับจูนจะเน้นความนุ่มนวล นั่งสบายแบบรถยนต์นั่งหรือเอสยูวี นำหน้าความแข็ง หนักแน่น แบบรถกระบะสายลุย ความรู้สึกในการขับขี่จึงค่อนข้างนุ่มสบาย ไร้อาการกระเด้งและกระด้าง ช่วงความเร็วต่ำขับในเมืองให้ความรู้สึกดีขับสบายมากๆ และในช่วงใช้ความเร็วสูง หรือการขับเข้าโค้ง ตอนแรกนึกว่าจะโยน หรือย้วยจากเซ็ทช่วงล่างให้นุ่มมากๆ แต่โดยรวมก็ถือว่าสอบผ่านการยึดเกาะถนนอยู่ในระดับที่วางใจได้ และอีกจุดที่น่าสนใจคือความเงียบของห้องโดยสาร จากการออกแบบฉนวนกันเสียง 9 จุด จึงมีการเก็บเสียงที่ดี ทั้งจากลมปะทะ เสียงพื้นถนน และเสียงจากเครื่องยนต์
ทางด้านสมรรถนะความแรง ด้วยขนาดเครื่องยนต์ กำลังแรงม้า และแรงบิด ในระดับปานกลางเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ในการขับขี่ใช้งานจริง ก็ต้องถือว่ามีความแรงแบบพอเพียง ทั้งจังหวะออกตัว และการเร่งแซงที่ไว้วางใจได้ พร้อมให้ความประหยัดที่สมเหตุสมผล จากการทดลองขับในหลายๆช่วงการเดินทางใช้ความเร็วเฉลี่ยประมาณ 90-110 กม./ชม. อัตราสิ้นเปลืองทำได้ใกล้เคียงกันประมาณ13-15 กม./ลิตร. ส่วนการขับขี่ในเมืองใช้ความเร็วต่ำ รวมถึงช่วงรถติดมากน้อยสลับกันไปทำได้ประมาณ 9-11 กม./ลิตร ความประหยัดของรถกระบะรุ่นนี้จึงอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผลกับขนาด และกำลังของเครื่องยนต์ แต่เมื่อเทียบกับคู่แข่งรุ่นอื่นที่มีพิกัดเครื่องยนต์ใกล้เคียงกันถือว่าเป็นรองอยู่เล็กน้อย!
การขับขี่ใช้งานในชีวิตประจำวัน ยังให้ความอุ่นใจด้วยระบบความปลอดภัยครบครัน ไม่ว่าจะเป็น โครงสร้างตัวถังแบบ FSF (Full Space Frame) แบบ Ultra-high Strength Body ด้วยโครงสร้างที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง Thermoforming Steel ในบริเวณเสา A ไปจนถึงเสา B และโครงสร้างโดยรวมใช้เหล็กแบบ High Strength Steel ที่มีความแข็งแกร่งสูง ช่วยเพิ่มความปลอดภัย และเสริมความมั่นคงในการขับขี่ พร้อมรับทุกสภาพการใช้งาน และปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วยดิสก์เบรก 4 ล้อ และระบบความปลอดภัยมาตรฐานยุโรป Advanced Synchronized Protection System ที่ทำงานประสานเป็นหนึ่งเดียว ประกอบด้วย ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกฉุกเฉิน ABS (Anti-lock Braking System) , ระบบช่วยเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist) , ระบบช่วยกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake Force Distribution) , ระบบควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System) , ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System) , ระบบตรวจสอบความผิดปดติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System) , ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System) , ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน HDC (Hill Descend Control System) , ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection) , ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning System) นอกจากนี้ยังมาพร้อมระบบกุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ถุงลมนิรภัยด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัยรวม 6 ตำแหน่ง พร้อมเข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับพร้อมผ่อนแรงอัตโนมัติ รวมถึงกล้องมองภาพ รอบทิศทาง สัญญาณเตือนกะระยะด้านหลังและด้านหน้า และกล้องมองหลังช่วยเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่
การทำตลาด MG EXTENDER DC รุ่น 2.0 GRAND 4WD X 6AT เคาะราคาจำหน่ายไว้ที่ 1,029,000 บาท เมื่อเทียบกับคู่แข่งรุ่นท็อปด้วยกัน ถือว่ามีระดับราคาถูกกว่าพอสมควร ตรงนี้ก็น่าจะเป็นช่องว่างที่ทำให้รถกระบะรุ่นนี้มีโอกาสเจาะเข้าไปเป็นตัวเลือกสุดท้ายในการตัดสินใจซื้อได้มากทีเดียว โดยเฉพาะลูกค้าที่กำลังมองหารถกระบะขนาดใหญ่ โดดเด่นด้วยความกว้างขวาง สะดวกสบาย รองรับการใช้งานได้อย่างอเนกประสงค์ไม่เป็นรองใครในตลาด!!
TEST DRIVE By WWW.DRIVINGPLACE.COM