การพัฒนาเทคโนโลยีภายในของปอร์เช่ (Porsche)
รถรุ่นใหม่นี้ สืบทอดมาจากสูตรสำเร็จของรถแข่งสปอร์ตที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของปอร์เช่ (Porsche) จวบจนปัจจุบัน โดยรถ Porsche 99X Electric ในเวอร์ชัน GEN3 ได้ผ่านการคว้าตำแหน่งแชมป์โลกมาเป็นเวลา 2 ปีติดต่อกัน ด้วยฝีมือการควบคุมหลังพวงมาลัยของเดนนิส (Dennis) ในฤดูกาลปี 2022/2023 และเวียร์ไลน์ (Wehrlein) ในปี 2023/2024 ที่ยังคงมีแนวคิดเฉกเช่นเดิม นั่นคือการยึดมั่นตามกฎระเบียบ ในการใช้พลังงานที่มีอยู่ได้อย่างจำกัด ส่งผลบังคับให้ทีมและนักขับต้องเพิ่มประสิทธิภาพของรถในทุกด้าน อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ GEN3 Evo มีส่วนประกอบซึ่งพัฒนาโดยผู้ผลิต ที่ได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนแปลงได้ ด้วยเหตุนี้ แผนกพัฒนาของปอร์เช่ในไวส์ซัค (Porsche’s development department in Weissach) จึงถือโอกาสนี้ เพิ่มประสิทธิภาพจากศักยภาพที่ระบุไว้ในช่วงสองฤดูกาลที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของระบบขับเคลื่อน การรับรองส่วนประกอบของผู้ผลิตที่มีการปรับปรุงนี้จะมีผลบังคับใช้เป็นเวลา 2 ฤดูกาล ในส่วนของรถรุ่นเจเนอเรชันที่สี่ GEN4 กำหนดเปิดตัวสำหรับฤดูกาลที่ 13 (2026/2027)
ฟีเจอร์ใหม่ – GEN3 Evo
นวัตกรรมทางเทคนิคหลักของ GEN3 Evo เกี่ยวข้องกับฮาร์ดแวร์มาตรฐานที่ใช้โดยทุกทีมและผู้ผลิตรถที่เข้าร่วมการแข่งขันนี้ จากนี้ไป ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าสามารถใช้งานได้ในรอบการแข่ง เพื่อกำหนดตำแหน่งสตาร์ทในการแข่งขัน (qualifying duels) ระหว่างการเริ่มการแข่งขัน และโหมดโจมตี (Attack Mode) ซึ่งจะทำให้รถมีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อชั่วคราว ช่วยให้ Porsche 99X Electric เร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. ภายในเวลาประมาณ 2 วินาที การทำให้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเป็นอีกหนึ่งความท้าทายทางเทคนิค ซึ่งสิ่งที่ได้รับถือเป็นประโยชน์ในการพัฒนารถยนต์ที่ใช้ขับบนท้องถนนทั่วไปของปอร์เช่ด้วย
ยางประสิทธิภาพสูง จากผู้ผลิตโดยเฉพาะอย่างฮังคุก (Hankook) จะช่วยให้รถฟอร์มูล่าอี (Formula E) สามารถทำความเร็วได้สูงขึ้นในฤดูกาลใหม่ และเพื่อเป็นการลดการใช้ทรัพยากร รถแต่ละคันจะมียางให้ใช้งานเพียงแค่ 2 ชุด ต่อสุดสัปดาห์การแข่งขัน (3 ชุดสำหรับการแข่งขันแบบนักขับคู่) รูปแบบยางทำให้ยางเหมาะสมกับสภาพทั้งสภาพพื้นผิวแห้งและเปียก จุดสังเกตุของรถรุ่นใหม่นี้ ดูได้จากปีกหน้าที่ปรับเปลี่ยนใหม่ รูปทรงใหม่จะทำให้รถมีความเสถียรมากขึ้น ช่วยให้ทนต่อแรงกระแทกได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมในส่วนคลุมหลังแถบโรลบาร์และด้านหน้าล้อหลัง
สีสันจากรถยนต์รุ่นเรือธง
สีใหม่ที่ใช้บนตัวรถของ Porsche 99X Electric จะเป็นสีม่วงเมทัลลิก (Purple Sky Metallic) และสีเขียวเมทัลลิก (Shade Green Metallic) ซึ่งเป็นสีเดียวกับที่ปอร์เช่ (Porsche) ใช้ในรถสปอร์ตพลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่ในสายการผลิตสำหรับขับขี่บนท้องถนนเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา อย่าง ไทคานน์ เทอร์โบ จีที (Taycan Turbo GT) รถยนต์ผลิตที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่แบรนด์เคยสร้างมา โดยเปลี่ยนเป็นเฉดสีม่วงและเขียว แทนการผสมผสานแบบดั้งเดิมของสีดำ ขาว และแดง เพื่อสื่อความหมายถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากกีฬามอเตอร์สปอร์ตสู่สายการผลิต การเปลี่ยนแปลงด้านสีนี้ยังแสดงถึงการใช้พลังงานไฟฟ้าและจิตวิญญาณแห่งความเป็นผู้นำของปอร์เช่ โดยมีเป้าหมายเพื่อสื่อสารความแข็งแกร่งด้านนวัตกรรมการสร้างสรรค์ของบริษัท ในการแข่งขันฟอร์มูล่าอี (Formula E) ที่ก้าวหน้านี้
สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้
ทีม TAG Heuer Porsche Formula E และ Andretti Formula E จะเข้าร่วมการทดสอบก่อนฤดูกาลอย่างเป็นทางการของการแข่งขันฟอร์มูล่าอี (Formula E) ที่เมืองบาเลนเซีย ประเทศสเปน ระหว่างวันที่ 4 ถึง 7 พฤศจิกายน นอกจากเวียร์ไลน์ (Wehrlein) และดาคอสต้า (da Costa) แล้ว นักขับหญิงอีก 2 คนคือ กาเบรียล่า จิลโควา (Gabriela Jílková) จากเช็กเกีย (Czechia) และมาร์ตา การ์เซีย (Marta García) จากสเปน (Spain) จะเป็นผู้ขับขี่รถปอร์เช่ (Porsche) ในเมืองบาเลนเซีย (Valencia)
ความรู้สึกหลังจากการเปิดตัว
โธมัส เลาเดนบาค (Thomas Laudenbach) รองประธานฝ่ายมอเตอร์สปอร์ตของปอร์เช่ (Vice President Porsche Motorsport) กล่าวว่า “เราสร้างรถสปอร์ตแห่งอนาคต ดังนั้นเราจึงต้องการให้ภาพลักษณ์ของเราคือความก้าวหน้า การแข่งขันฟอร์มูล่าอี (Formula E) ที่ล้ำสมัยและเปี่ยมไปด้วยนวัตกรรม ถือเป็นโอกาสอันยอดเยี่ยมในการส่งเสริมรถสปอร์ตพลังงานไฟฟ้าของเรา การเตรียมความพร้อมสำหรับฤดูกาลจนถึงตอนนี้ทำให้ผมมีความมั่นใจว่าเราไม่เพียงแค่ดูดี แต่ยังสามารถสร้างผลงานต่อยอดจากความสำเร็จของฤดูกาลที่แล้วได้อีกด้วย โดยเราตั้งมาตรฐานไว้สูงเสมอ และด้วยความพร้อมของปาสคาล (Pascal) ในฐานะตำแหน่งแชมป์โลก เราจึงอยู่ในจุดสูงสุดของประวัติศาสตร์การแข่งฟอร์มูล่าของปอร์เช่จนถึงปัจจุบัน”
ฟลอเรียน โมดลิงเกอร์ (Florian Modlinger) ผู้อำนวยการฝ่ายมอเตอร์สปอร์ตโรงงาน ฟอร์มูล่าอี (Director Factory Motorsport Formula E) กล่าวว่า “งานพัฒนาที่ใหญ่ที่สุด คือการนำระบบขับเคลื่อนสี่ล้อมาใช้ชั่วคราว เนื่องจากฮาร์ดแวร์มีพร้อมสำหรับ GEN3 อยู่แล้ว จึงมีการทำงานอย่างหนักเพื่อปรับแต่งซอฟต์แวร์ นอกจากนี้ เรายังต้องการเพิ่มความเร็วในการเร่งและการเข้าโค้งให้สูงสุดด้วยการขับเคลื่อนสี่ล้อ ในขณะที่มีการตั้งเป้าหมายไม่ให้ใช้พลังงานมากเกินไป แต่ยังสามารถรักษาสมดุลของรถให้ตรงตามที่นักขับต้องการ ซึ่งงานทั้งหมดเหล่านี้ยังเกี่ยวข้องกับรถสปอร์ตของเราที่ผลิตเพื่อการขับขี่บนท้องถนนอีกด้วย”
ปาสคาล เวียร์ไลน์ (Pascal Wehrlein) นักขับจากปอร์เช่ (Porsche works driver) (#1) กล่าวว่า “Porsche 99X Electric ใหม่เป็นรถที่ยอดเยี่ยมมาก ผมชอบสีของมันมากจนออกแบบหมวกกันน็อคให้มีสีเดียวกัน นอกจากนี้ ผมยังภูมิใจที่ตอนนี้มีหมายเลข 1 อยู่ที่หน้ารถของผม ผมต้องการป้องกันตำแหน่งแชมป์ของตัวเองและการเตรียมความพร้อมสำหรับฤดูกาลใหม่ให้เป็นไปตามแผนที่ตั้งไว้”
อันโตนิโอ เฟลิกซ์ ดา คอสต้า (António Félix da Costa) นักขับจากปอร์เช่ (Porsche works driver) (#13) กล่าวว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้รับรู้ว่าเราจะอยู่ในสถานะไหน ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ยางใหม่ และการปรับปรุงส่วนประกอบของเราอย่างครอบคลุม อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง แม้ว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงหลักๆ ในกฎระเบียบก็ตาม ผมมีความหวังและยินดีที่เราจะได้แข่งขันในเซาเปาโลอีกครั้งในต้นเดือนธันวาคม หวังว่าผู้ชมแฟนๆ จะชื่นชอบสีรถใหม่ของเรา”
ข้อมูลทางเทคนิค – Porsche 99X Electric (GEN3 Evo)
กำลังขับเคลื่อน
- การใช้งานปกติ: 300 กิโลวัตต์ (408 แรงม้า)
- โหมดโจมตี (Attack Mode), การดวลคุณสมบัติ: 350 กิโลวัตต์ (476 แรงม้า)
การส่งกำลัง
- การใช้งานปกติ:ขับเคลื่อนล้อหลัง
- โหมดโจมตี (Attack Mode), ช่วงการคลอลิฟาย, การเริ่มการแข่งขัน: ขับเคลื่อนสี่ล้อ
การเร่งความเร็ว
- 0–100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง: ประมาณ 0 วินาที
การกู้คืนพลังงาน
- กำลังการกู้คืนสูงสุด 600 กิโลวัตต์ (การกู้คืนพลังงานจากเบรก)
- ประมาณ 50% ของพลังงานขับเคลื่อนในแต่ละการแข่งขันมาจากการกู้คืนพลังงานจากเบรก
ระบบเบรก
- ระบบเบรกฟื้นฟูพลังงาน: กำลังเบรกไฟฟ้าสูงสุด 250 กิโลวัตต์ ที่ล้อหน้า, สูงสุด 350 กิโลวัตต์ ที่ล้อหลัง
- การชะลอเพิ่มเติมผ่านการเสียดสีของเบรคที่ล้อหน้า (“Brake by Wire” system)
- เส้นผ่านศูนย์กลางของจานเบรกหน้า: 258 มิลลิเมตร
- การเสียดสีของเบรกที่ล้อหลังจะทำงานเฉพาะในกรณีฉุกเฉิน (หากการกู้คืนพลังงานล้มเหลว)
ยาง
- ยาง Hankook iON Race ที่มีการออกแบบเฉพาะสำหรับสภาพพื้นผิวแห้งและเปียก
- ใช้ยาง 2 ชุดต่อแต่ละสัปดาห์การแข่งขันและต่อรถหนึ่งคัน (3 ชุดสำหรับการแข่งขันแบบนักขับ 2 คน)
แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน
- ทุกส่วนประกอบได้รับมาตรฐาน
- ความจุที่สามารถใช้งานได้: 5 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง
- น้ำหนัก: 285 กิโลกรัม
ระบบชาร์จพลังงานสูง (CCS-Combined Charging System)
- ออกแบบมาเพื่อการชาร์จที่รวดเร็ว โดยมีพละกำลังการชาร์จสูงสุดถึง 600 กิโลวัตต์
น้ำหนักและขนาด
- น้ำหนัก: 862 กิโลกรัม รวมคนขับ
- ความยาว: 5,016 มิลลิเมตร, ความกว้าง: 1,700 มิลลิเมตร, ความสูง: 1,023 มิลลิเมตร
- ระยะฐานล้อ: 2,970 มิลลิเมตร
- ระยะห่างจากพื้น: สูงสุด 65 มิลลิเมตร
- แทร็กด้านหน้า: 1,440 มิลลิเมตร
- แทร็กด้านหลัง: 1,380 มิลลิเมตร
การพัฒนาหลักภายใน
พัลส์อินเวอร์เตอร์, มอเตอร์ไฟฟ้า, เกียร์, ระบบความต่าง, แกนขับ และส่วนประกอบการขับขี่อื่นๆ ที่อยู่บนเพลาหลัง รวมถึงระบบระบายความร้อน, ส่วนสนับสนุนและส่วนประกอบการกันสะเทือนที่อยู่บนเพลาหลัง, ซอฟต์แวร์การทำงาน
ส่วนประกอบมาตรฐานหลัก
โครงสร้างและตัวถัง, ล้อและยาง, ส่วนประกอบการขับเคลื่อน, ระบบระบายความร้อน และส่วนประกอบการกันสะเทือนที่อยู่บนเพลาหน้า, แบตเตอรี่